คนจนผู้ยิ่งใหญ่
ค่ำนี้ดูรายการคนค้นคน (หา ค. คนไม่เจออ่ะ) ทาง Modern Nine TV (อินเตอร์ป๊ะ เรียกช่องเก้า เชย!!)
สะดุดหูคำว่า "หนึง &@&^#@*& .... ส่งหนึง"
//หมายเหตุ : &@&^#@*& เป็นประโยคภาษาจีน ฟังไม่ออกอ่ะ
ก็ขอหยุดฟังซักครู่ อยากฟังให้ชัดๆ หนึง ?
อ่อ ที่แท้ .. เค้าก็มีล่ามแปลเป็นภาษาไทย ได้ความประมาณว่า อาแปะคนนี้เคยทำอาชีพส่งไข่มาก่อน
(อิอิ แอบภูมิใจเวลาที่ได้ยินชื่อของตัวเองออกทีวี ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกะเราเล้ย ก็มันหาฟังยากอ่ะ)
และแล้ว ก็นั่งฟังชีวิตของอาแปะคนนี้ซักหน่อย
วันนี้รายการคนค้นคนนำเสนอเรื่องของคนจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนบนแผ่นดินสยาม
ช่วงแรกเค้าไปสัมภาษณ์เล่าแปะคนหนึ่ง ทางรายการใช้คำว่าเล่าแปะ
(คำว่าเล่าแปะ ใช้เรียกคนสูงอายุแล้ว สูงอายุกว่าอาแปะ)
อาเล่าแปะเป็นคนจีนที่เดินทางเข้ามาอยู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6
ทำอาชีพส่งของในย่านเยาวราชตั้งแต่ได้เงินค่าจ้างหน่วยที่เรียกยังเป็นสตางค์อยู่เลยอ่ะ
แม่ก็เล่าประกอบบอกว่าสมัยแม่เด็กๆ ก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเอง ...
โหวว เวลาสามสิบ สี่สิบปีผ่านไป ค่าเงินเปลี่ยนแปลงมากเลยนะเนี่ย
เดี๋ยวนี้เหรียญสลึง ห้าสิบสตางค์ ไม่ค่อยเห็นแล้วอ่ะ จะได้เห็นก็ตอนขึ้นรถเมล์เขียวอ่ะ (ราคาสามบาทห้าสิบ)
หนึง: แม่! หนึ่งสตางค์นี่น้อยกว่าสลึงใช่ป๊ะ
แม่: อือ อะไร สลึงนึงมีเท่าไร .. กี่สตางค์
หนึง: ยีบ-ห้า (เขียนแบบภาษาพูด) .. อ่าว แล้วเหรียญสตางค์เป็นไงอ่ะแม่
แม่: ก็ที่มีรูตรงกลางไง ทำด้วยทองแดงแท้เลย แบบที่เป็นเหรียญตันๆเลยก็มีนะ คล้ายๆเหรียญบาทน่ะ
แต่อันนี้เป็นสีเงิน มีเลขหนึ่งเขียนตรงกลาง
แล้วก็สนทนากันต่อสักพัก ได้ความว่า สมัยแม่ไม่ทันใช้เหรียญสตางค์แล้ว สมัยแม่เป็นเหรียญยี่สิบห้าสตางค์
แต่ขนาดใหญ่กว่าที่เห็นในสมัยนี้ เหรียญสลึงในสมัยนั้นใช้ซื้อข้าว ซื้อก๋วยเตี๋ยว ได้เลยทีเดียว
ต่อเรื่องอาแปะ เอ๊ยเล่าแปะ -_-'
ไม่น่าเชื่อว่าแกจะมีอายุ 92 ปีแล้ว ..
ดูแข็งแรงมากๆเลย ยังมีแรงขนของหนักๆ ถีบรถไปส่งของได้อีก แข็งแรงจริงๆ
แถมแกยังมีน้ำใจอีกต่างหาก คือแกไปกินข้าวต้มที่ร้านประจำของแก แล้วก็มีพิธีกรอีกสองคนไปกินกะแกด้วย
ตอนเก็บเงิน พิธีกรออกปากว่าให้หนูเลี้ยงนะ แต่แกปฏิเสธ แถมยังจ่ายเงินให้กับพิธีกรอีกสองคนด้วย
มื้อนี้ แกเลยจ่ายเงินทั้งหมด 39 บาท (ชามละ 13 บาท) โอว ขอนับถือจริงๆ
นึกถึงเพลงนี้เลย "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" ของคาราบาว
"...มีจนวัดใจคนไม่ได้ จนแต่รวยนํ้าใจ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจน ..."
พอได้เวลาประมาณบ่ายสาม อาแปะก็เลิกงาน จะกลับบ้านแล้ว แต่แกต้องเอารถคู่ใจไปจอดไว้ข้างมัสยิดแห่งหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้)
เพราะบ้านแกอยู่ฝั่งธนฯไง ต้องนั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งกะโน้น ..
สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างก็คือ การดูแลรักษารถของแกนี่ล่ะ ..
อาแปะคลุมรถถีบของแกด้วยกระดาษแข็ง กระดาษกล่อง ป้ายโปสเตอร์หาเสียง พลาสติก รวมแปด เก้า ชั้นได้มั๊ง
แล้วก็ใช้ไม้หรือสังกะสี บังล้อรถไว้อีกด้วย และนี่คือเหตุผลที่รถถีบคันอยู่กะแกมากว่าหกสิบปีได้
^___,*
0 Comments:
Post a Comment
<< Home