Tuesday, December 05, 2006

ฉันรักในหลวง

ฉันเคยคิดว่า ชีวิตนี้อยากจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวงสักครั้ง หรือได้เพียงแต่ได้เห็นในหลวงพระองค์จริงก็ยังดี เพื่อที่จะได้เป็นศิริมงคงแก่ตัวเอง แล้ววันนี้ความฝันของฉันก็เป็นจริง ..

ฉันกับแม่ ออกจากบ้านราวบ่ายสองกว่า ขึ้นรถเมล์สาย 44 เพื่อจะเดินทางไปที่ถนนราชดำเนินให้ทันก่อนห้าโมงเย็น

รถเมล์แน่นมาก และทุกคนในรถเมล์ล้วนใส่เสื้อสีเหลือง ไม่เว้นแม้แต่คนขับ และกระเป๋ารถเมล์

เมื่อรถถึงถนนราชดำเนิน ฉันก็เห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา นั่งเรียงรายอยู่ริมบาทวิธีกันเต็มไปหมด มีกลุ่มนักเรียนเตรียมทหารก็มารอรับเสด็จด้วย มีวงโยธวาทิสบรรเลงเพลง


.


พอได้ลงรถ ฉันกับแม่ก็รีบไปจับจองที่กันอย่างเร่งด่วน ขณะที่ยืนอยู่นั้น ตำรวจที่มาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยก็พูดคุยกับประชาชน และหยอกล้อกับเด็กที่มารอรับเสด็จในหลวง ที่ฉันจำได้ก็มี "ในหลวงท่านจะทรงประทับคันที่มีธงนะ"

ฉันได้ยินอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกปลื้มใจยังไงบอกไม่ถูก เหมือนทุกคนที่เดินทางมาที่นี่ต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน ทุกคนใส่เสื้อสีเดียวกัน และแน่นอน "ทุกคนมีใจดวงเดียวกัน"

และแล้ว เมื่อฉันเห็นรถตำรวจนำหน้ามา ก็รู้เลยว่า วินาทีที่รอคอยใกล้มาถึงแล้ว ขนลุกไปหมดเลย ได้เห็นพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จนำมาก่อน ท่านได้โบกพระหัตถ์ให้กับพวกเราด้วย

แล้วรถยนต์พระที่นั่งที่มีธงก็แล่นผ่านมา ในรถยนต์พระที่นั่งคันนั้นฉันได้เห็นสมเด็จพระราชินีประทับคู่มากับในหลวง เสียงถวายพระพร"ทรงพระเจริญ" ดังก้องไปหมด ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่วินาที แต่ก็มีความหมายมากๆเลย

เมื่อรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่านไป ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองน้ำตาคลอด้วยความดีใจ แต่ฉันก็ยังไม่ทันได้เห็นในหลวงชัดๆ เพราะรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่านไปไว ฉันเลยตั้งใจจะรอรับเสด็จในตอนเสด็จกลับอีกทีหนึ่ง

ฉันกับแม่ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และจับจองที่นั่งเพื่อรอรับเสด็จกลับ ในระหว่างนี้ แม่ก็ได้ชวนพี่ที่มาจากสุพรรณคุยไปพลางๆ และหลายๆเรื่องที่ฉันได้ยินผู้คนคุยกันส่วนใหญ่ในระหว่างรอนั้น ก็เป็นเรื่องพระบารมี และพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง สำหรับแม่ของฉัน ก็เล่าเรื่องราวสมัยที่แม่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าได้มีโอกาสได้เข้าไปฟังในหลวงท่านทรงดนตรี ได้เล่าถึงพระบารมีของพระองค์ว่า ก่อนหน้าที่ในหลวงจะเสด็จฝนตกอยู่ไม่มีเค้าว่าฝนจะหยุด พวกอาจารย์ และนักศึกษาก็ออกมารอรับเสด็จท่ามกลางสายฝน แต่พอถึงเวลาที่ในหลวงเสด็จมาถึงปุ๊ป ฝนก็หลุดปั๊บเลย ทุกคนต่างซาบซึ้งในพระบารมีของพระองค์มาก และก็มีอีกหลายๆเรื่อง รวมถึงเรื่อง 14 ตุลา อันนี้แม่เล่าได้อินมาก คนฟังจะรู้สึกเหมือนได้อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย แล้วก็สรุปตอนท้ายว่า "เพราะประเทศไทยมีในหลวงเราถึงผ่านวิกฤตการ์ร้ายๆเหล่านั้นมาได้ "


.
.


เวลาก็เลยผ่านไปชั่วโมงกว่าๆได้ จากฟ้าที่สว่างๆ ก็เริ่มมืดลง และไฟที่ถูกประดับประดาไว้ ก็เปล่งแสงออกมาแล้ว ถนนราชดำเนินในเวลากลางคืนสวยมากๆเลย

ตำรวจเริ่มออกมาดูแลความสงบแล้ว แสดงว่ากำลังจะมีขบวนเสด็จผ่านอีกครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่รอรับเสด็จกลับ ตำรวจที่มารักษาความสงบก็ถือโอกาสนี้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย อิอิอิ แอบเก็บภาพมาได้


.


ราวๆ หนึ่งทุ่มขบวนเสด็จก็ผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้รถยนต์ที่ประทับของในหลวงนำมาเป็นคันแรก และแล่นผ่านมาอย่างช้าๆ ฉันได้เห็นสมเด็จพระราชินีทรงหันมายิ้มให้กับประชาชน และได้เห็นในหลวงด้วย ดีใจมากๆเลย เสียง "ทรงพระเจริญ" ดังก้องไม่แพ้ตอนเย็นเลย และหนึ่งในเสียงนั้นก็เป็นเสียงของฉันเอง ดีใจมากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง คุณยายที่นั่งอยู่ข้างๆก็ดีใจมาก เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ได้เห็นในหลวงและพระบรมวงศ์ วันนี้จะเป็นวันที่ฉันและคนไทยอีกหลายคน ไม่มีวันลืมไปจากชีวิตได้เลย "ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานค่ะ"

เมื่อรอรับเสด็จแล้ว ข้าพเจ้ากับแม่ก็เดินตรงไปทางสนามหลวง เพื่อจะร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรแด่ในหลวง คนเยอะมากๆ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา มีทุกเพศทุกวัย


.
.


เมื่อร้องเพลงสดุดีมหาราชาจบแล้ว ก็มีการจุดพลุเฉลิมพระเกียรติ อย่างยิ่งใหญ่และงดงาม
ฉันกับแม่ ถือว่ายืนอยู่ในทำเลที่ดีเลยก็ว่าได้ เพราะว่าได้เห็นพลุอย่างใกล้ชิด พลุสวยงามมาก นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตอีกเหมือนกัน ที่ได้เห็นพลุที่สวยงามในระยะใกล้เช่นนี้


.


เมือดูพลจบแล้ว ฉันกับแม่ก็เดินมาที่ถนนราชดำเนินอีกครั้ง เพื่อจะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน สองข้างทางคนเยอะแน่นเต็มถนนไปหมด
และได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก


.


ฉันโชคดีจริงๆที่ได้เกิดเป็นคนไทย และได้เกิดมาเป็นประชาชนของในหลวง
"ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง และมีแต่ความสุขมากๆค่ะ"