Saturday, February 12, 2005

คม!


"ความกล้าไม่ใช่การหนีหายของความกลัว แต่คือการตัดสินว่าสิ่งอื่นนั้นมีความสำคัญมากกว่าความกลัว"
The Princess Diaries2: Royal Engagement.

"คนที่มีเสน่ห์ ฉลาด แต่ไม่หยิ่งยโส คนที่มีเมตตาจิต"
The Princess Diaries2: Royal Engagement.

"ทุกคนควรได้รับโอกาสในการค้นหารักแท้"
The Princess Diaries2: Royal Engagement.

"โลกนี้มีเรื่องร้ายๆมากเกินไป มีเรื่องเศร้ามากเกินไป มากจนทำให้เรามองข้ามเรื่องดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต"
หมานคร

"เพราะจินไม่หยุดมองหา จินเลยมองไม่เห็น"
หมานคร

be humbly confident
-

Wednesday, February 09, 2005

คนจนผู้ยิ่งใหญ่


ค่ำนี้ดูรายการคนค้นคน (หา ค. คนไม่เจออ่ะ) ทาง Modern Nine TV (อินเตอร์ป๊ะ เรียกช่องเก้า เชย!!)
สะดุดหูคำว่า "หนึง &@&^#@*& .... ส่งหนึง"
//หมายเหตุ : &@&^#@*& เป็นประโยคภาษาจีน ฟังไม่ออกอ่ะ
ก็ขอหยุดฟังซักครู่ อยากฟังให้ชัดๆ หนึง ?
อ่อ ที่แท้ .. เค้าก็มีล่ามแปลเป็นภาษาไทย ได้ความประมาณว่า อาแปะคนนี้เคยทำอาชีพส่งไข่มาก่อน
(อิอิ แอบภูมิใจเวลาที่ได้ยินชื่อของตัวเองออกทีวี ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกะเราเล้ย ก็มันหาฟังยากอ่ะ)

และแล้ว ก็นั่งฟังชีวิตของอาแปะคนนี้ซักหน่อย

วันนี้รายการคนค้นคนนำเสนอเรื่องของคนจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนบนแผ่นดินสยาม

ช่วงแรกเค้าไปสัมภาษณ์เล่าแปะคนหนึ่ง ทางรายการใช้คำว่าเล่าแปะ
(คำว่าเล่าแปะ ใช้เรียกคนสูงอายุแล้ว สูงอายุกว่าอาแปะ)
อาเล่าแปะเป็นคนจีนที่เดินทางเข้ามาอยู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6
ทำอาชีพส่งของในย่านเยาวราชตั้งแต่ได้เงินค่าจ้างหน่วยที่เรียกยังเป็นสตางค์อยู่เลยอ่ะ

แม่ก็เล่าประกอบบอกว่าสมัยแม่เด็กๆ ก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเอง ...
โหวว เวลาสามสิบ สี่สิบปีผ่านไป ค่าเงินเปลี่ยนแปลงมากเลยนะเนี่ย
เดี๋ยวนี้เหรียญสลึง ห้าสิบสตางค์ ไม่ค่อยเห็นแล้วอ่ะ จะได้เห็นก็ตอนขึ้นรถเมล์เขียวอ่ะ (ราคาสามบาทห้าสิบ)

หนึง: แม่! หนึ่งสตางค์นี่น้อยกว่าสลึงใช่ป๊ะ
แม่: อือ อะไร สลึงนึงมีเท่าไร .. กี่สตางค์
หนึง: ยีบ-ห้า (เขียนแบบภาษาพูด) .. อ่าว แล้วเหรียญสตางค์เป็นไงอ่ะแม่
แม่: ก็ที่มีรูตรงกลางไง ทำด้วยทองแดงแท้เลย แบบที่เป็นเหรียญตันๆเลยก็มีนะ คล้ายๆเหรียญบาทน่ะ
แต่อันนี้เป็นสีเงิน มีเลขหนึ่งเขียนตรงกลาง

แล้วก็สนทนากันต่อสักพัก ได้ความว่า สมัยแม่ไม่ทันใช้เหรียญสตางค์แล้ว สมัยแม่เป็นเหรียญยี่สิบห้าสตางค์
แต่ขนาดใหญ่กว่าที่เห็นในสมัยนี้ เหรียญสลึงในสมัยนั้นใช้ซื้อข้าว ซื้อก๋วยเตี๋ยว ได้เลยทีเดียว

ต่อเรื่องอาแปะ เอ๊ยเล่าแปะ -_-'
ไม่น่าเชื่อว่าแกจะมีอายุ 92 ปีแล้ว ..
ดูแข็งแรงมากๆเลย ยังมีแรงขนของหนักๆ ถีบรถไปส่งของได้อีก แข็งแรงจริงๆ
แถมแกยังมีน้ำใจอีกต่างหาก คือแกไปกินข้าวต้มที่ร้านประจำของแก แล้วก็มีพิธีกรอีกสองคนไปกินกะแกด้วย
ตอนเก็บเงิน พิธีกรออกปากว่าให้หนูเลี้ยงนะ แต่แกปฏิเสธ แถมยังจ่ายเงินให้กับพิธีกรอีกสองคนด้วย
มื้อนี้ แกเลยจ่ายเงินทั้งหมด 39 บาท (ชามละ 13 บาท) โอว ขอนับถือจริงๆ
นึกถึงเพลงนี้เลย "
คนจนผู้ยิ่งใหญ่" ของคาราบาว
"...มีจนวัดใจคนไม่ได้ จนแต่รวยนํ้าใจ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจน ..."

พอได้เวลาประมาณบ่ายสาม อาแปะก็เลิกงาน จะกลับบ้านแล้ว แต่แกต้องเอารถคู่ใจไปจอดไว้ข้างมัสยิดแห่งหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้)
เพราะบ้านแกอยู่ฝั่งธนฯไง ต้องนั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งกะโน้น ..
สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างก็คือ การดูแลรักษารถของแกนี่ล่ะ ..
อาแปะคลุมรถถีบของแกด้วยกระดาษแข็ง กระดาษกล่อง ป้ายโปสเตอร์หาเสียง พลาสติก รวมแปด เก้า ชั้นได้มั๊ง
แล้วก็ใช้ไม้หรือสังกะสี บังล้อรถไว้อีกด้วย และนี่คือเหตุผลที่รถถีบคันอยู่กะแกมากว่าหกสิบปีได้
^___,*